Archive | beauty ความงาม RSS for this section

ลบจุด รอยแผลเป็น

ลบจุดผิด ปิดรูขน แผลเป็นหาย ‘แผลนูน-แผลหลุม’ เป็นที่ผิว เจ็บที่ใจ

ใครๆ ก็เคยเป็นแผลด้วยกันทั้งนั้น แผลที่เป็นแล้วหายไป จะให้เป็นอีกสักกี่รอบก็ไม่มียั่น แต่ถ้าเป็นแล้วกลายเป็นแผลเป็นอยู่โยงคงไว้บนผิว เป็นรอยนูน หรือหลุมแผลเนี่ยซิ ถึงจะเป็นที่ผิว แต่มันสร้างความเจ็บใจเสียทุกครั้งที่เห็น!

ก่อนจะรู้กันถึงเรื่องแผลเป็น คงต้องเริ่มต้นที่ ‘แผล’ ที่ผิวกันก่อน ซึ่งเกิดจากการได้รับบาดเจ็บที่ผิว เช่น การผ่าตัด การเกิดอุบัติเหตุ การป่วยเป็นโรคที่มีอาการทางผิวหนัง (อาทิ อีสุกอีใส) หรือเป็นสิว

ไม่ว่าแผลจะเกิดจากสาเหตุใด แผลจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ชนิดด้วยกัน ประกอบไปด้วย ‘แผลถลอก’ เป็นแผลตื้นๆ ที่เกิดความเสียหายอยู่เพียงบริเวณผิวหนังบนสุดหรือผิวชั้นหนังกำพร้า แผลที่เกิดขึ้นจึงหายง่าย หายเร็ว และมองแทบไม่เห็นร่องรอยของแผล

แผลชนิดที่สอง เรียกว่า ‘แผลฉีกขาด’ จะเป็นแผลที่มองเห็นได้ชัดเจนว่า ผิวหนังมีการฉีกขาด ทำให้เกิดการแยกของเนื้อเยื่อในผิว หากลงลึกไปยังชั้นหนังแท้หรือผิวชั้นกลาง และชั้นไขมันหรือชั้นที่อยู่ลึกที่สุด อาจหมายถึง แผลมีความรุนแรงมาก จะหายช้า มีโอกาสกลายเป็นแผลเป็นที่เห็นได้ชัดเจน

และแผลอีกชนิด คือ ‘แผลฟกช้ำ’ หมายถึง แผลที่ผิวหนังชั้นบนสุดไม่มีการฉีกขาดหรือแตกแยก แต่จะปรากฏเป็นรอยเขียว ม่วง แดง หรือเรียกว่า อาการฟกช้ำ เนื่องจากมีเลือดคั่งอยู่ใต้ผิวหนัง มักเกิดจากการถูกกระแทกหรือบีบรัดที่ผิวหนัง แต่แผลฟกช้ำนี้เมื่อหายจะไม่ทิ้งร่องรอยไว้

นับตั้งแต่ผิวบาดเจ็บ จะเกิดการอักเสบราว 3-7 วัน หลังจากนั้นผิวหนังก็จะเริ่มการเยียวยาตัวเองตามธรรมชาติ โดยระหว่างที่เกิดแผล น้ำในผิวจะระเหยออกไปมากกว่าปกติ ส่งให้ผิวหนังบริเวณนั้นขาดความชุ่มชื้น กระทบไปถึงกระบวนการสร้างคอลลาเจนที่เพิ่มมากขึ้นเกินควร โดยคอลลาเจนที่มากเกินไปนี่เอง ทำให้เกิดการเรียงตัวที่ไร้ระเบียบ จึงเป็นที่มาของ ‘แผลเป็น’ (Scar) บางครั้งยังสามารถกล่าวได้ว่า แผลเป็น เกิดจากกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังที่ไม่สมบูรณ์นั่นเอง

เมื่อเกิดแผลเป็นขึ้นมาแล้ว หากสังเกตดูจะเห็นว่า แผลเป็นแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน นั้นเป็นเพราะ แผลเป็น มีหลายแบบ นิยมแบ่งไว้ 3 แบบด้วยกัน คือ…

Pitted  Scar

1.แผลเป็นแบบหลุม หรือ Pitted Scar รอยแผลเป็นจะมีลักษณะเป็นหลุม เนื่องจากเนื้อเยื่อผิวถูกทำลายลงไปลึก จนไม่สามารถสร้างชั้นผิวได้เหมือนเดิม มักเกิดขึ้นจากพฤติกรรมชอบบีบสิว แกะสิว กดสิว การเจาะ หรือฉีดยาบ่อยๆ

Hypertrophic Scar

2.แผลเป็นแบบนูน หรือ Hypertrophic Scar แผลจะมีสีแดงหรือชมพู และนูนขึ้นกว่าผิวหนังปกติที่อยู่รอบๆ แต่รอยแผลยังอยู่ในขอบเขตของรอยแผลที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือฉีกขาดของแผลเดิม บางคนอาจเกิดอาการ เจ็บ คัน บริเวณแผลด้วย

Keloid

3.แผลเป็นนูนที่ขยายตัว หรือ Keloid ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับแบบ Hypertrophic Scar แต่แบบ Keloid นั้น แผลจะนูนและขยายตัวกว้างขึ้นจากรอยแผลเดิม สรุปคือ ทั้งนูนและใหญ่ขึ้น มักเกิดจากการถูกของมีคมบาด แผลผ่าตัดต่างๆ แผลไฟไหม้-น้ำร้อนลวก แผลจากการเจาะ การสัก แผลฉีดวัคซีน-ปลูกฝี บางคนอาจเกิดอาการ เจ็บ คัน บริเวณแผลด้วย

ไม่ว่าแผลเป็นจะมีลักษณะนูนหรือเป็นหลุม ก็ทำให้ผิวหนังไม่เรียบเนียน ยิ่งหากเกิดขึ้นที่ใบหน้า หรือบริเวณที่มองเห็นได้ชัดเจน ยิ่งดูไม่ดีเข้าไปใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ควรต้องหาวิธีรักษาแผลเป็นเหล่านี้

การรักษาแผลเป็นนูน 

มีด้วยกันหลายวิธี ทั้งการใช้ ‘แผ่นซิลิโคน’ ปิดทับแผล หรือ การใช้ซิลิโคนเจล ทาบริเวณแผล ซึ่งยาเหล่านี้มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง โพลีเมอร์ ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำจากผิวหนังสู่บรรยากาศ ทำให้เพิ่มความชุ่มชื้นแก่เซลล์ผิวหนัง ฟื้นฟูสภาพแผลให้จางและยุบตัวลง แต่การปิดแผ่นซิลิโคนเป็นวิธีที่ไม่เหมาะกับแผลเป็นนูนที่มีบนใบหน้า เนื่องจากเห็นได้ชัด และไม่เหมาะกับปิดแผลบริเวณผิวหนังหรือข้อต่อที่เคลื่อนไหว เพราะทำให้ไม่สะดวกในการขยับร่างกายและหลุดง่าย

แต่ปัจจุบันมี ‘ซิลิโคน เจล’ วิวัฒนาการทางการแพทย์เข้ามาแก้ไขปัญหาความไม่สะดวกของแผ่นซิลิโคนแล้ว โดยใช้ทาหลังจากแผลแห้งสนิท ไม่เว้นแม้ใบหน้า เพราะเนื้อเจลบางเบา ไม่มีสี เมื่อทาลงไปแล้วผิวจะถูกเคลือบไว้คล้ายแผ่นฟิล์มเคลือบทับ ทำให้สะดวกในการทาที่หน้า หรือบริเวณข้อต่อที่เคลื่อนไหว

วิธีต่อมา ‘ฉีดยาด้วยยาสเตียรอยด์’ ลดการอักเสบของการเกิดเป็นแผลเป็นนูน ฉีดเฉพาะที่เข้าไปในแผลเป็นโดยตรง เพื่อลดการอักเสบ แต่ก็อาจทำให้เจ็บได้พอสมควรในระหว่างการฉีดยา แพทย์มักแนะนำให้ฉีดแผลเป็นนี้ในช่วงระยะประมาณไม่เกิน 1 ปีแรก และส่วนใหญ่จะฉีดประมาณ 4-6 อาทิตย์ต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของยา

หรือจะเป็นวิธี ‘ผ่าตัด’ เพื่อตัดแผลเป็นที่นูนออกไปทั้งหมดหรือเพียงแค่ลดขนาดลงบางส่วนแล้วไปรักษาร่วมกับวิธีอื่นๆ ในวิธีการผ่าตัด หากไม่ใช้มีดหมอ ก็อาจเลือกใช้ ‘เลเซอร์ CO2’ ซึ่งเปรียบเสมือนมีดผ่าตัดที่ไม่ทำให้เกิดเลือดไหลออกจากผิวหนัง แต่การผ่าตัดไม่ใช่คำตอบของทุกราย บางรายผ่าตัดแล้วแผลเป็นใหญ่กว่าเดิม อันนี้ต้องให้แพทย์ศัลยกรรมตกแต่งพิจารณาเป็นรายๆไป

 การรักษาแผลเป็นแบบหลุม  ก็มีหลายวิธีเช่นกัน ตั้งแต่ขัดด้วยเกล็ดอัญมณีง่ายหรือที่เรียกว่า?Microdermabrasion ซึ่งสำหรับหลุมอาจไม่ค่อยได้ผลเท่าไร เพราะเป็นการลอกเซลล์ชั้นขี้ไคลออกเท่านั้น ต่อมาที่เห็นผลเร็วทันใจไม่ต้องรอ คือ การฉีดFiller  คือการฉีดสารเติมเต็มเพื่อแก้ไขปัญหารอยบุ๋มหรือหลุม เพื่อให้สารสังเคราะห์ซึ่งเลียนแบบธรรมชาติเข้าไปดูดน้ำในร่างกายเราเป็นพันเท่า ทำให้บวมโต ผิวหนังเต่งตึงหรือนูนขึ้นมา แต่เป็นวิธีที่แก้ปัญหาได้ไม่ถาวรและแอบเจ็บจนน้ำตาไหล ส่วนวิธีต่อมาคือการทำ Dermaroller อันนี้ก็เป็นวิธีที่ค่อนข้างเจ็บตัว และ ไม่นิยมแล้วในปัจจุบันแล้ว เพราะเลือดออกมากและโอกาสติดเชื้อง่าย วิธีนี้ทำโดยการใช้ลูกกลิ้งเข็ม ขนาด กว้าง 0.25 mm. ยาว 1.5 mm. ไถลงบนใบหน้า ให้เป็นรูเล็กๆแล้วเติมสารอาหารเสริม วิตามิน คอลลาเจนลงไป เชื่อว่าทำให้อาหารผิว เข้าสู่ผิวได้ดีกว่าปกติ 40 เท่า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้หลุมเต็มขึ้น วิธีนี้ก็คล้ายๆ การทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว แต่ใช้มือคนทำ ความละเอียดน้อยกว่า แต่ราคาสบายกระเป๋ากว่ามากคะ

ต่อมาสำหรับผู้ที่มีงบมากหน่อย อยากได้ผลดีอยู่ได้นาน ต้องใช้ ‘เลเซอร์’ เข้ามาช่วยแก้ไข ซึ่งมีทั้งเลเซอร์ Ablative Laser และ Non- Ablative laser คือ กลุ่มเลเซอร์ที่ทำลายชั้นหนังกำพร้าและไม่ทำลายชั้นหนังกำพร้าตามลำดับ ฟังดูแล้วอาจจะงงหน่อยว่ามันคืออะไร แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆคือ การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ กลุ่ม ablative ก็เหมือนการเอาเลเซอร์ ปาดพื้นผิวหนังหน้าบนให้เรียบ เสมือนการปาดหน้าเค็ก ทำให้หลังทำผิวจะมีรอยแดง แสบร้อน แต่ไม่มีเลือดออก หลังทำไปสัก 2-3 วันจะตกสะเก็ดและใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ หน้าถึงจะเข้าสู่ภาวะเป็นปกติ ตอนนี้เลเซอร์กลุ่ม ablative ที่นิยมใช้รักษาหลุมสิวก็จะมี  Fractional CO2 Laser , Er:YAG Laser ซึ่งได้ผลดีและเร็วเลยทีเดียว แต่ต้องทนไม่สวยประมาณ 1 อาทิตย์ ส่วนเลเซอร์กลุ่ม non-ablative  นั่น ไม่ทำลายพื้นผิวหนังด้านบน ดังนั้นหลังทำไม่ต้องพักหน้ามาก อาจมีรอยแดงน้อยๆ แต่ไม่มีสะเก็ด ไม่มีแผล ใช้หลักการปล่อยลำแสงเลเซอร์ไปยังผิวชั้นลึกโดยไม่ทำลายผิวหนังกำพร้าด้านบน ทำให้ผิวชั้นลึกถูกกระตุ้นด้วยแสงเลเซอร์ จึงเกิดการเหนี่ยวนำกระตุ้นทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ทำให้หลุมกลับมาเต็มดังเดิม เลเซอร์ในกลุ่มนี้คือ Fraxel Laser , Fine Scan Laser 

แสงเลเซอร์ในกลุ่มเหล่านี้จะให้อนุภาคขนาดเล็กๆมากๆ เพื่อทำลายเซลล์ที่ผิดปกติ ในตำแหน่งที่เล็กมากๆ ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น หลังจากนั้นเซลล์ผิวดีๆข้างเคียงก็จะเหนี่ยวนำ ทำให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ที่ดีต่อไป หลักการเหมือนเป็นการรีทัชแก้ไข ตกแต่งภาพในจอคอมพิวเตอร์ ที่แก้ไขจุดบกพร่องอย่างละเอียด ทีละพิกเซล ทำให้ภาพออกมาสวยตามต้องการ วิธีนี้นอกจากทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นใย collagen, elastin ได้อีกด้วย ทำให้นอกจากตอบโจทย์ปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้างแล้วยังแก้ปัญหาเรื่องริ้วรอยได้ดีด้วยคะ ใครหน้าหยาบ รูขุมขนใหญ่ก็หมดปัญหาแล้วคะ

 

บทความโดย พญ.ธวลิดา เวชชวณิชย์ แพทย์หัวหน้าศูนย์ความงาม รพ.พญาไท 1
E-mail : bangkokbeautyclinic@gmail.com
Hotline : 086-4656031

เลเซอร์กำจัดขน

พี่ขา ขนลาก่อน 

เลเซอร์กำจัดขน  สวยใสชนะใจ ไร้เส้น(ขน)

บ้านเราเป็นเมืองร้อน ยิ่งนานวันก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนสาวๆ ต้องปรับตัวตามสภาพอากาศ เห็นได้ชัดจากสไตล์การแต่งตัว เน้นสวมเสื้อแขนกุด เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น มินิสเกิร์ต หรือแม้กระทั่งกีฬา เน้นไปว่ายน้ำ เที่ยวทะเลรับลมเล่นน้ำ หนีไม่พ้นต้องใส่ชุดว่ายน้ำ วันพีช ทูพีช บิกินี่กันตามความพอใจ

ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ต้องเผยผิวให้เห็นมากขึ้น สาวๆ จึงต้องเตรียมผิวให้เกลี้ยเกลานวลเนียนที่สุด โดยเฉพาะจุดใต้วงแขน เรียวแขน-ขา ยิ่งใครที่มีขนดกดำหนา ยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้สวมเสื้อผ้าแล้วสวยงาม ไม่มีขนยาวรกหูรกตา ยกแขนสูงอวดวงแขนได้อย่างมั่นใจ

 

 

 

 

 

แต่กว่าจะได้ผิวสวยใสไร้เส้นขน หลายๆ คนอาจใช้วิธีถอนด้วยการกระตุก โกนด้วยใบมีดหรือเครื่องโกน แต่ไม่นานเส้นขนก็จะงอกขึ้นมาใหม่ อาจเจอปัญหารูขุมขนอักเสบเพราะถอนดึงแรงๆ จนรูขุมขนปูดนูนทำให้ผิวไม่ราบเรียบดูคล้ายหนังไก่ และมักจะมาพร้อมปัญหาขนคุด ขนไม่งอกพ้นผิวหนัง กลายเป็นตอดำๆ อยู่ใต้ผิวหนัง กรณีเลือกโกนออกด้วยคมมีดก็เสี่ยงบาดผิวหรือขูดลอกผิว อาจเกิดแผล ผิวถลอกเป็นริ้วรอยไม่น่ามอง

 

บางคนอาจเลือกที่แว๊กซ์ขน โดยใช้ครีมแว๊กซ์ทาลงบนผิวหนังตรงบริเวณที่ต้องการเอาเส้นขนออก เมื่อครีมแห้งลงก็จะกระตุกครีมที่จับตัวเป็นแผ่นออกแรงๆ เส้นขนก็จะหลุดออกมาพร้อมกับแผ่นครีม หากแว๊กซ์อย่างถูกต้องเส้นขนจะต้องหลุดออกมาพร้อมรากสีขาวๆ โดยเส้นขนจะงอกขึ้นใหม่เมื่อเวลาผ่านไปราว 1 เดือน แต่ก็เป็นวิธีที่สร้างความเจ็บปวดไม่น้อยขณะแว๊กซ์ และยังมีโอกาสทำให้ผิวหนังระคายเคือง รู้สึกคันช่วงที่เส้นขนกำลังจะงอกขึ้นมาใหม่ อาจมีปัญหาขนคุดได้ หากดูแลไม่ดีพอ


‘เส้นขน’
ที่สาวๆ ไม่ปรารถนาให้มีอยู่ในบางจุดนั้นโผล่ขึ้นมาให้เห็นชัดเจนในชั้นหนังกำพร้าซึ่งเป็นผิวหนังชั้นบนสุด แต่รากของมันอยู่ระหว่างช่วงปลายของชั้นไขมันซึ่งเชื่อมต่อกับส่วนต้นของชั้นหนังแท้ โดยเส้นขนจะแทรกตัวอยู่ในรูขุมขน ส่วนรากเชื่อมต่อกับเส้นเลือดแดง เส้นเลือดฝอย เส้นประสาทที่รับความรู้สึกได้ เส้นขนในส่วนที่อยู่ในชั้นหนังแท้จะถูกห่อหุ้มและเชื่อมกับต่อมไขมันเล็กๆ ที่มีอยู่ทั่วชั้นหนังแท้ และมีกล้ามเนื้อที่ช่วยในการยกและพยุงด้วย

เมื่อเส้นขน-เส้นผมงอกออกมาสู่ผิวหนังชั้นนอกสุดก็จะทำหน้าที่ให้ความอบอุ่น ลดการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกายมากจนเกินไป ปกป้องผิวหนังจากแสงแดด ลักษณะของเส้นขนแตกต่างกันตามอายุ เพศ และเชื้อชาติ จึงทำให้เส้นขนของแต่ละคนมีสี ความยาว ความหยาบ ความหนาที่ไม่เหมือนกัน ส่วนอายุของเส้นขนก็ยังมีต่างกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งของมัน เช่น ขนคิ้ว ขนตา ขนรักแร้มีอายุประมาณ 3-4 เดือน ขนอ่อนตามร่างกายอายุประมาณ  4 เดือนครึ่ง เมื่อหลุดก็จะงอกยาวขึ้นใหม่เป็นวงจรไปเรื่อยๆ

แม้ธรรมชาติจะสร้างเส้นขนมาให้ แต่อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้น เส้นขนบางตำแหน่งกลายเป็นอุปสรรคขัดความสวยของสาวๆ ซึ่งวิวัฒนาการความงามก็คิดหาทางออกของปัญหาเพื่อกำจัดเส้นขนไม่พึงประสงค์ และมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน

เริ่มจาก ‘การจี้ด้วยไฟฟ้า’ หรือ Epilation เป็นการปล่อยคลื่นไมโครเวฟสู่แนวเส้นขน ให้เข้าไปทำลายเซลล์สร้างเส้นขน โดยหนีบเส้นขนทีละเส้น เพื่อปล่อยคลื่นดังกล่าวซึ่งจะแปรสภาพเป็นพลังงานความร้อน 149 องศาฟาเรนไฮต์ หยุดวงจรการเจริญเติบโตของเส้นขน ส่งผลให้หลุดร่วงลงไป เป็นวิธีที่เหมาะในการกำจัดเส้นขนบริเวณที่มีไม่มากและเส้นขนแบบบาง ใช้เวลานานและอาจทำให้รู้สึกเจ็บ

การจี้ด้วยไฟฟ้า

ต่อด้วย ‘IPL’ (Intense Pulsed Light) ไม่ใช่เลเซอร์ แต่เป็นการปล่อยคลื่นแสงที่มีความยาวหลายช่วงคลื่น ระหว่าง 500-1,200 นาโนเมตร ซึ่งในการกำจัดเส้นขนนั้น แพทย์จำเป็นต้องเลือกช่วงคลื่นให้เหมาะกับลักษณะของเส้นขน  หากเลือกช่วงคลื่นได้ถูกต้อง พลังงานความร้อนของคลื่นแสงชนิดนี้จะสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เส้นขนได้ เหมาะกับเส้นขนสีเข้ม เจ็บไม่มาก หลังทำจะมีรอยแดงชั่วคราว ใช้เวลาทำต่อครั้งไม่นาน แต่ต้องทำประมาณ 5-8 ครั้งถึงเห็นผล หลังทำควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดราว 1 สัปดาห์ ราคาการทำ IPL กำจัดเส้นขนเริ่มต้นตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป

IPL กำจัดขน

นอกจากนี้ยังมี ‘เลเซอร์กำจัดเส้นขน’ ใช้หลักการปล่อยคลื่นแสงที่เปลี่ยนสภาพเป็นความร้อน ซึ่งจำกัดขอบเขตที่ชัดเจน มีความลึกและการดูดซับสีที่แน่นอน เพื่อให้พลังงานความร้อนเข้าไปรบกวนการเจริญเติบโตของเส้นขน ส่งผลให้เส้นขนหลุดร่วงออกไป หากงอกขึ้นมาใหม่ก็จะมีจำนวนน้อยลง บางลง สีอ่อนลง และหลุดร่วงง่าย แต่จะต้องทำอย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่ง เส้นขนจึงจะขึ้นช้าลงเรื่อย ๆ ผิวหนังบริเวณที่กำจัดเส้นขนออกไปก็จะเรียบเนียนเกลี้ยงเกลา

เลเซอร์กำจัดเส้นขนที่ว่านี้มีหลายอย่าง ที่โดดเด่น คือ Alexandrite laser (อเล็กซานไดร์ท เลเซอร์) ช่วงคลื่น 755 นาโนเมตร เหมาะกับเส้นขนบาง สีอ่อน เพราะเป็นช่วงคลื่นความถี่ต่ำ หากนำไปใช้กำจัดเส้นขนสีเข้มหนาจะทำให้เกิดความร้อนสะสมจนรู้สึกเจ็บปวด

Alexandrite laser

ชนิดต่อมา นิยมมาก คือ Gentle YAG (เจนเทิล แยค) คือ Long pulse Nd:YAG Laser (เอ็นดี:แยค) มีช่วงคลื่น 1064 นาโนเมตร จัดเป็นเลเซอร์ที่มีความถี่สูง จึงลงลึกสู่ผิวหนังได้มากที่สุด ยับยั้งและทำลายเซลล์เส้นขน ให้หยุดการเจริญเติบโตและหลุดออก ซึ่งต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง เหมาะกับคนที่มีผิวเหลือง คล้ำ อย่างคนเอเชีย กำจัดได้ทุกสภาพเส้นขน แก้ปัญหาขนคุดได้ด้วย เหตุผลที่เจนเทิล แยค ได้รับความนิยมเนื่องจากขณะยิงเลเซอร์ตัวนี้จะมีแก็สเย็น Dynamic Cooling Device (DCD) ออกมาพร้อมกับเลเซอร์ ช่วยทำความเย็นให้กับผิวชั้นบน ทำให้รู้สึกสบาย และปกป้องผิวด้านบนให้ปลอดภัย

Gentle YAG

สำหรับ Diode Laser (ไดโอด เลเซอร์) ช่วงคลื่น 810 นาโนเมตร ลงลึกได้ถึงรากขน กำจัดได้ผลดีในเส้นขนระยะเจริญเติบโต เหมาะที่จะกำจัดบริเวณพื้นที่ใหญ่ๆ โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง แต่เหมาะกับคนผิวขาว คนยุโรปมากกว่าคนเอเชีย

เลเซอร์ มักเป็นวิธีที่ถูกใช้ในการกำจัดเส้นขน แต่ควรต้องทำอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง บางชนิดอาจรู้สึกแสบร้อนขณะทำ จึงต้องใช้ความเย็นเข้าช่วย อาทิ ลมเป่าเย็น หรือเจลเย็น หลังทำให้หลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอม โลออนที่มีแอลกอฮอล์ เลี่ยงการสัมผัสแสงแดด อาจมีรอยแดงบ้าง ควรทาครีมบำรุงที่ปราศจากน้ำหอม เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวกรณีที่ทำโดยผู้ขาดประสบการณ์อาจเกิดรอยคล้ำไหม้ได้ สนนราคาในการใช้เลเซอร์กำจัดขนจะถูกแนะนำเป็นคอร์ส ราคาหลักหมื่นขึ้นไป

แต่หมอขอเตือนไว้อย่างหนึ่งคือ ไม่มีวิธีไหนในโลกที่สามารถกำจัดขนได้ถาวร คำว่ากำจัดขนถาวรในความหมายนี้คือ หลังจากยิงเลเซอร์ครบคอร์สแล้ว สัก 1-2 ปี ขนจะกลับขึ้นมาใหม่ แต่ขนจะอ่อนลง สีจะจางลง แต่ไม่ใช่ทั้งชีวิตนี้ไม่มีขนอีกเลย อย่าเข้าใจผิดคะ

บทความโดย พญ.ธวลิดา เวชชวณิชย์ แพทย์หัวหน้าศูนย์ความงาม รพ.พญาไท 1
E-mail : bangkokbeautyclinic@gmail.com
Hotline : 086-4656031

เลเซอร์กำจัดสิว จัดการสิว

ขุดรากถอนโคนสิว เลเซอร์กำจัดสิว จัดการสิวให้อยู่หมัด!

สิว แขกไม่ได้รับเชิญของใบหน้า ที่มักจะแวะมากวนใจอยู่บ่อยๆ บางคนขาดความมั่นใจเมื่อเป็นสิว อยากกำจัดสิวให้หมดอย่างโดยเร็ว แต่ก่อนกำจัดสิวนั้น ควรรู้จักสิวกันก่อน

สิว เกิดจากการอักเสบของระบบต่อมไขมัน (sebaceous) ในรูขุมขน ซึ่งโดยปกติแล้วไขมันที่สร้างจากต่อมนี้จะออกมาตามเส้นขน ทว่าเกิดอาการอุดตันที่ทางเดินส่งผลให้เกิดสิว มักเกิดขึ้นที่ใบหน้า ไหล่ แผ่นหลัง ช่วงอก ส่วนต้นตอของการเกิดสิวนั้นมีอยู่หลายสาเหตุ อย่าง ฮอร์โมนแอนโดรเจนที่มีมากในช่วงวัยแรกรุ่น ทำให้คนส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องสิวเห่อขึ้นเต็มใบหน้าในช่วงอายุระหว่าง 11-14 ปี จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงแต่ก็ยังเป็นอยู่เรื่อยๆ ต่อไปอีกหลายปี

นอกจากนี้ยังมีสาเหตุจากการที่ร่างกายผลิตไขมันมากเกินไป เมื่อระบายออกมาทางผิวหนังไม่ทันจึงเกิดการอักเสบ ยิ่งถ้าเจอแบคทีเรียในอากาศด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เป็นสิวอุดตัน สำหรับแบคทีเรียที่มีส่วนทำให้เกิดสิวมีชื่อว่า Propionibacterium acne  ซึ่งเรียกย่อๆว่า  P. Acne ตลอดจนการกินอาหารที่มีไขมันสูง ความเครียด สภาพอากาศ ใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิวที่ไม่เหมาะสม ผลจากการใช้ยาบางชนิด และอีกอย่างคือ การแบ่งตัวของเซลล์รากขนหรือผม ที่เร็วเกินไป จนมีเซลล์ตายมาก เกิดการอุดตันของรูขุมขนตามมา

ทุกคนที่เป็นสิวคงรู้กันดีว่า สิวมีหลายลักษณะ ประกอบด้วย ‘สิวเสี้ยน’ ( Trichostasis Spinulosa )พบมากบริเวณจมูก เป็นจุดดำๆ เกิดจากการอุดตันของไขมันที่จับตัวกับรากขนอ่อน และเยื่อรูขุมขนที่หลุดลอกออก ‘สิวผด’ ขึ้นเป็นผดเม็ดเล็ก ๆ บริเวณหน้าผากและแก้ม อันที่จริงไม่เป็นสิวที่ชัดเจน แพทย์อาจเรียกว่า สิวเทียม เพราะไม่มีเกี่ยวกับต่อมไขมัน

‘สิวหัวเปิด’ ( Open Comedone ) บางครั้งเรียกสิวหัวดำ เป็นสิวที่มีรูเปิดออกบริเวณผิวภายนอกผิว ทำให้หัวสิว สัมผัสออกซิเจนในอากาศเกิดการทำปฎิกริยากัน ทำให้หัวสิวกลายเป็นสีดำ ทำให้เห็นเป็นจุดดำ ๆ อยู่บริเวณหัวสิว แต่ไม่อักเสบ สามารถหลุดออกได้เอง ส่วน ‘สิวอุดตัน’ สิวหัวขาว หรือสิวหัวปิด ( Closed Comedone ) เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน เกิดการสะสมเป็นก้อนอุดตันอยู่ภายใน จะเป็นก้อนนูนเล็กๆ มีโอกาสเปลี่ยนเป็นสิวอักเสบต่อไป

สิวชนิดสุดท้าย เรียกว่า ‘สิวอักเสบ’ ( Inflamed Acne )  เกิดจากสิวอุดตัน หรือสิวหัวขาวที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้อักเสบ ลักษณะเป็นรอยนูนแดง ถ้าการอักเสบอยู่บริเวณส่วนต้นท่อไขมัน จะเห็นเป็นตุ่มหนอง แต่กรณีที่อยู่ลึกลงไป จะเห็นเป็นก้อนนูนบวมตึงขึ้นมา กดเจ็บ  ยิ่งหากเกิดการอักเสบรุนแรง และลึกลงไปใต้ชั้นผิวหนังกลายเป็นหนอง จะเรียกว่า สิวหัวช้าง ( Acne Conglobata ) สังเกตเห็นได้ง่าย ทำให้หน้าไม่เรียบ ดูบวมแดง ทิ้งปัญหารอยแผลเป็นให้ผิวด้วย

การกำจัดสิว หลายคนรู้ว่ามีหลากวิธี ไม่ว่าจะเป็นเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน รักษาความสะอาดเพิ่มขึ้น เลือกใช้ครีมบำรุงผิวและเครื่องสำอางให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าหากยังไม่ดีขึ้นก็มักจะไปพบแพทย์ผิวหนัง ซึ่งมักจะได้รับยาทั้งชนิดกินและทา บางรายอาจถูกกดสิว แต้มสิวด้วยกรด หรือฉีดยาสเตียรอยด์เข้าที่สิว ซึ่งแต่ละวิธีล้วนแล้วแต่ต้องใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไปกว่าสิวจะหาย บางครั้งอาจทิ้งร่องรอยของสิว กลายเป็นตำหนิแห่งผิวที่ไม่ชวนมอง

“เลเซอร์กำจัดสิว แก้ปัญหาสิว เร็ว ไม่ทิ้งร่องรอย” สรรพคุณตอบโจทย์ปัญหาสิวเช่นนี้ จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจของคนรักสวยห่วงหล่อแบบใจร้อน โดยเลเซอร์ที่สามารถกำจัดสิวมีอยู่หลายแบบด้วยกัน โดยส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำวิธีกำจัดสิวด้วยเลเซอร์ให้กับผู้มีปัญหาสิวอักเสบ สิวอุดต้น

เริ่มจาก ‘เลเซอร์ CO2’ (Cabondioxide Laser) เปรียบเสมือนมีดหมอไร้เลือดออกซึมในขั้นตอนการยิงเลเซอร์ ถูกนำมาใช้เพื่อเปิดหัวสิว โดยลำแสงเลเซอร์ทำให้ผิวหนังที่หุ้มหัวสิวอยู่เป็นรูเล็กๆ เป็นการระบายสิวออก แล้วจึงกดเอาไขมันที่อุดตันอยู่ใต้ผิวออกมาด้วยอุปกรณ์กดสิว ก่อนยิงเลเซอร์ยังต้องมีการให้ทายาชาบริเวณผิวเป้าหมาย เพื่อไม่ให้รู้สึกแสบร้อนจากพลังงานความร้อนความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร อย่างไรก็ตาม หลังการรักษาแพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการถูกน้ำ 1 วัน และในช่วง 7 วัน ให้งดเครื่องสำอาง ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและถือเป็นระยะตกสะเก็ด ซึ่งถ้าดูแลไม่ดีอาจทำให้เกิดรอยดำเป็นผลข้างเคียงได้

เลเซอร์ CO2’

‘เลเซอร์ไดโอด’ (Diode Laser) มีความยาวคลื่นแสง 1,450 นาโนเมตร ยับยั้งการทำงานของต่อมไขมัน และการลดการอักเสบ กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน จึงเหมาะกับการรักษาสิวอักเสบ รอยแผลเป็นจากสิว ต่อมไขมันโตผิดปกติ สำหรับเลเซอร์ในกลุ่มนี้ที่นิยมใช้รักษาสิว มีชื่อว่า สมูทบีม (Smooth Beam) เป็นการพัฒนาให้มีระบบให้ความเย็นที่ป้องกันผิวชั้นบน หรือระบบ DCD (Dynamic Cooling Device) ลดโอกาสเกิดรอยดำหลังการรักษา เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการกดสิว หรือฉีดยาที่หัวสิว อีกตัวชื่อ วีบีม (V-Beam) เป็น pulsed dye laser  มีระบบ DCD เช่นกัน แต่จะโดดเด่นที่ความสามารถลบรอยแดง เนื่องจากช่วยให้เม็ดสีและเส้นเลือดเล็ก ๆ ที่ผิดปกติ ที่กระจายทั่วไปจางหายไป ส่งผลให้เกิดการจัดเรียงตัวเส้นเลือดใต้ผิวหนังใหม่  หากต้องการให้เห็นผลชัดเจนต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง

              ‘ IPL ( Intense Pulse Light ) ’  แสงความเข้มสูง ช่วงคลื่น 410 นาโนเมตร จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.Acne ช่วงคลื่น  510, 560 ช่วยลดการอักเสบ ยับยั้งการทำงานของต่อมไขมัน ลดรอยแดง รอยดำต่างๆ  หลังยิงหน้าจะมันลดลง การอักเสบจะลดลง รอยแดงรอยดำจากสิวจะจางลง ภาพรวมหน้าจะใส สว่างขึ้น

การรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ต่างๆนี้ ควรรักษาไปพร้อมๆกับการใช้ยาทารักษาสิว จะทำให้ได้ผลดีและเร็วยิ่งขึ้น

เลเซอร์ไดโอด

ปัญหาใหญ่อีกเรื่องอันเป็นผลพวงมาจากสิวก็คือ ‘หลุมสิว’ ที่ทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน เกิดจากสิวอักเสบรุนแรง การกดหรือบีบสิว ซึ่งหลุมสิวที่ว่านี้มีความแตกต่างกัน โดยแบ่งได้ 3 ลักษณะ ‘Ice Pick Scar’ มีลักษณะเป็นรอยหลุมลึก ขอบแคบ ขนาดเล็ก คล้ายรูมากกว่าหลุม แต่รักษายากที่สุด ‘Box Scar’ แบบนี้จะเป็นรอยกว้าง ขอบยก มองเห็นชัดเจน เกิดจากสิวหรืออีสุกอีใส และ ‘Rolling Scar’ ซึ่งเป็นรอยหลุม ดูเป็นแอ่งเว้า

หลุมสิว เมื่อเป็นแล้ว เลเซอร์ก็ยังสามารถแก้ไขได้ ด้วย ‘เลเซอร์ที่สร้างคอลลาเจนผิวส่วนลึก’ ในกลุ่ม Collagen stimulating Laser ให้ยกเนื้อเยื่อแล้วหลุมสิวจะดูตื้นขึ้นหรือเรียบได้ ปัจจุบันนิยมใช้เลเซอร์แบบ Non-ablative Laser ที่มีคุณสมบัติในการรักษาผิวหน้าส่วนลึก โดยไม่มีผลต่อผิวหน้าส่วนบน อาทิ เลเซอร์กลุ่ม Fractional Photothermolysis Laser เช่น Fraxel laser  เลเซอร์กลุ่มนี้จะปล่อยพลังงานออกมาเป็นอนุภาคเล็กๆ ทำให้เกิดการทำลายเซลล์ผิวที่ผิดปกติออกไปเป็นจุดเล็กๆ จากนั้นเซลล์ผิวดีรอบข้าง จะเหนี่ยวนำทำให้เกิดการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย จึงเกิดเซลล์ผิวใหม่ได้ภายใน 24 ชั่วโมง จนมีการเปรียบ FP เหมือนการแต่งภาพในโปรแกรมคอมพิวเตอร์

การปฏิวัติใบหน้าให้เนียนใสไร้สิวหรือหลุมขรุขระด้วยเลเซอร์อย่างที่กล่าวไปนั้น เหมาะสำหรับผู้ที่พร้อมทั้งใจและทุนทรัพย์ เนื่องจากการรักษาด้วยเลเซอร์แม้จะเห็นผลได้ทันตา แต่โดยภาพภาพรวมแล้วต้องรักษาต่อเนื่องเป็นระยะ จึงมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ

บทความโดย พญ.ธวลิดา เวชชวณิชย์ แพทย์หัวหน้าศูนย์ความงาม รพ.พญาไท 1
E-mail : bangkokbeautyclinic@gmail.com
Hotline : 086-4656031

เปลี่ยนผิวคล้ำเป็นผิวขาวด้วย IPL

ลำแสงพิฆาต รอยดำชะงักงัน
สวยประชันสาวเกาหลี เปลี่ยนผิวคล้ำเป็นผิวขาวด้วย IPL

เลิกอิจฉาสาวหมวย ที่เขาว่าดูสวยใสสไตล์เกาหลีไปได้เลย เพราะต่อไปนี้ สาวไทยจะอวดผิวขาวประชันความสวยได้ไม่แพ้ใครถึงสภาพอากาศบ้านเราจะเลี่ยงแสงยูวีที่เป็นต้นเหตุของความหมองคล้ำดำได้ยาก แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางออกของปัญหา เพราะสมัยนี้มีตัวช่วยหลายอย่างเพื่อเนรมิตผิวให้ได้ดั่งใจ แก้ไขได้ตรงจุดอย่างเช่นการรักษาด้วย IPL

บางคนอาจคุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่สำหรับการเปลี่ยนผิวหมองคล้ำให้ขาวสดใสด้วย

IPL หรือ  Intense Pulse Light

ซึ่งเป็นการรักษาโดยใช้แสงความเข้มสูง ช่วงคลื่น 400-1200 nm เป็นตัวทำลาย เม็ดสีรอยดำส่วนเกินใต้ผิวหนัง ให้แตกกระจายออกเป็นเม็ดเล็กๆ แล้วร่างกายเราก็จะค่อยๆมากำจัดไป จึงทำให้รอยดำจางลง ภาพรวมหน้าสว่างขึ้น นอกจากนี้แสงยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้เล็กน้อย ทำให้ใบหน้าเต่งตึงขึ้น ริ้วรอยดูลดลงคะ แต่ IPL เป็นการรักษาแบบไม่จำเพาะเจาะจง มีผลในผิวหนังชั้นตื้นๆเท่านั้น จึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาน้อยๆ มีรอยดำจางๆ ริ้วรอยนิดๆหน่อยๆ ต้องการรีจู ฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้น อันนี้หลังทำจะเห็นผลว่าภาพรวมหน้าใสขึ้นดูดีขึ้น แต่ถ้ามีฝ้าเยอะ รอยดำหนาๆ ไม่กล้าเจอคน อันนี้ต้องเปลี่ยนใจให้หันไปทำพวกเลเซอร์กลุ่ม Qswitch ดีกว่าคะ เพราะพลังงานสูงกว่า ลงลึกกว่า เห็นผลชัดเจนยิ่งกว่า จะได้ไม่เสียเงินฟรี เพราะ ถ้าปัญหามากๆ IPL ไม่ได้ผลคะ

ขั้นตอนการรักษา

อย่างที่บอกว่า IPL เป็นการรักษาด้วยแสงความเข้มสูง แต่อย่าเพิ่งตกใจกังวลไป ว่าจะร้อนหรือหรือเกิดรอยไหม้ที่ผิว เพราะโดยทั่วไปด้วยความทันสมัยไฮเทคของเทคโนโลยี เครื่อง IPL ที่ดีๆมีคุณภาพ ผ่านมาตรฐานสากล บริเวณหัวยิงที่สัมผัสกับผิวของเรา จะมีตัวทำความเย็นอัตโนมัต อุณหภูมิ –5c ถึง-30c หล่อเย็นอยู่ที่หัวยิงบริเวณที่สัมผัสกับผิวของเราอยู่แล้ว เพื่อลดความเสี่ยงจากการไหม้ การ burn จากความร้อนที่จะลงสู่ผิวขณะทำการรักษา แต่ย้ำต้องเป็นเครื่องที่ดีๆ ผ่านมาตรฐานเท่านั้นนะคะ ถึงจะมีระบบนี้  บางเครื่องที่ราคาถูกหน่อยก็จะไม่มีระบบนี้ ซึ่งคนไข้ก็ต้องรับความเสี่ยงไป เอาเป็นว่า รักษาหน้า ทำเลเซอร์ทำในโรงพยาบาลทำโดยแพทย์ที่จบมาทางนี้โดยตรงปลอดภัยสุดคะ เพราะโรงพยาบาลเขามีระบบตรวจสอบจากแพทยสภา กระทรวงสาธารณะสุขอย่างถูกต้องคะ   ต่อไปก่อนทำเลเซอร์หมอจะนำเจลเย็นๆมาทาที่ผิวก่อน เพื่อให้เกิดการหล่อลื่นเพิ่มความเย็นให้ผิวและเป็นตัวนำแสงเข้าสู่ผิว หลังจากนั้นก็เริ่มปล่อยลำแสงจากตัวเครื่องเข้าสู่ผิว ซึ่งเราจะรู้สึกว่ามันอุ่นๆ เหมือนถูกหนังยางดีดเบาๆ ทำทั่วหน้า หลังทำก็จะหน้าแดงเรื่อๆเหมือนคนทาแก้ม ไม่มีแผล แต่งหน้า ล้างหน้าได้เลย ไม่มีข้อห้ามคะ แต่ถ้าอยากขาวก็เลี่ยงแดดก็จะดี หลังทำครั้งแรกก็จะดีขึ้น 10-20% และจะดีขึ้นเรื่อยๆหลังจากทำไป 4-5 ครั้งคะ ระยะเวลาในการทำก็ 2-4 อาทิตย์ต่อครั้ง เครื่องนี้หน้าไม่เป็นอะไรก็ทำได้คะ เป็นการฟื้นฟูผิวด้วยเครื่องอย่างดีโดยไม่มีแผลทางหนึ่งคะ ทำเป็นประจำก็จะไม่เห็นร่องรอยความหมองคล้ำมาสร้างปัญหาให้เราอีก

จริงอยู่ว่าการทำ IPL ไม่มีผลข้างเคียงภายหลัง แถมยังรักษาได้ทุกที่ของผิว แต่ก่อนการรักษา ก็ต้องเตรียมตัวไว้บ้าง เพื่อให้ผลที่ออกมาดียิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งที่จะต้องทำก็คือ

1.ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ ต้องเลี่ยงแสงแดดจัด เพราะผิวสีเข้ม หรือผิวที่ไหม้จากการอาบแดด จะทำให้เกิดการไหม้ได้จากการทำ IPL เพราะถ้าผิวโดดแดด ผิวจะไวต่อแสงมากกว่าปกติคะ

2.ควรทำอย่างต่อเนื่องทุกเดือนประมาณ 4-6 ครั้ง

3. หลังการทำต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดประมาณ 1 สัปดาห์

4.หลังทำจะมีรอยแดงเรื่อๆที่หน้า ที่ผิว เหมือนคนทาแก้ม ไม่เกิน 1 วันสีผิวก็จะเป็นปกติ

5. ทาครีมกันแดดเป็นประจำ

6.บางคนที่เกิดอาการแสบร้อน หรือมีรอยแดงที่ผิวหนังหลังการทำ อย่าเพิ่งคิดมากค่ะ เพราะอีก 24 ชั่วโมงต่อมาก็จะเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ถ้ามีรอยไหม้ มีถุงน้ำ มีรอยเครื่องบนหน้า ต้องรีบพบแพทย์ที่ทำการรักษาให้เราทันที แสดงว่ามีปัญหาแล้วคะ

เห็นผลทันใจ แถมยังปลอดภัยแบบนี้ ราคาก็ไม่ได้แพงมากอย่างที่คิด ตามปกติการรักษาจะคิดตามจำนวนจุดที่ยิง Shotละ 100 ขึ้นไป หรือถ้าทำทั่วหน้าก็อยู่ที่ประมาณ 2,000-5,000 ต่อครั้ง ตามแต่สถานที่ไปใช้บริการ  ซึ่งวิธีเลือก เราอย่าคำนึงถึงแค่ราคาเพียงอย่างเดียว ต้องดูที่คุณภาพเครื่อง แพทย์ที่จะมาทำการรักษาให้เราและ สถานที่ที่เราไปรักษาด้วย ถ้าเราเลือกได้ดีก็จะได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและน่าพอใจคะ

บทความโดย พญ.ธวลิดา เวชชวณิชย์ แพทย์หัวหน้าศูนย์ความงาม รพ.พญาไท 1
E-mail : bangkokbeautyclinic@gmail.com
Hotline : 086-4656031

ยกตา ลดหน้า บีบน่อง โบทอกซ์ ฟิลเลอร์

ยกตา ลดหน้า บีบน่อง โบทอกซ์ ฟิลเลอร์เอาอยู่

ย้อนวัยผิวด้วย ‘ฟิลเลอร์-โบท็อก’

เมื่อไหร่ก็ตามที่กาลเวลาพาอายุไปถึงเลข 25 เมื่อนั้นริ้วรอยเหี่ยวย่นจะปรากฏขึ้นตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะผิวหน้าบริเวณดวงตา หรือตีนกา จะค่อยๆ มองเห็นได้ชัดเจนอยู่เรื่อยๆ และยิ่งดูชัดแจ้งตอนอายุ 50 ปี ในตอนนั้นยังจะมีปัญหาผิวหยาบกร้าน หย่อนคล้อย และคืนตัวช้า  เช่นเดียวกับริ้วรอยแห่งวัยที่มุมปาก หน้าผากช่วงหว่างคิ้ว ดูๆ ไปก็คล้ายผ้าม่านที่หย่อนตัวลง

แล้วริ้วรอยเหี่ยวย่นเกิดอย่างไรกันหรือ?

ก็ธรรมชาติของผิวนั้นประกอบไปด้วยเซลล์จำนวนมากมาย มีการเสื่อมสภาพ หลุดออก และสร้างขึ้นมาทดแทนใหม่ตลอดเวลา ทว่าเมื่ออายุมากขึ้น เซลล์จะเสื่อมสภาพ หลุดง่าย สร้างยาก ไม่สมบูรณ์เหมือนวัยละอ่อน

หากดูจากโครงสร้างของผิวหนังซึ่งมีด้วยกัน 3 ชั้น ประกอบด้วยชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมัน จะทำให้ทราบว่าปัญหาเหี่ยวย่นมีความเกี่ยวพันกันหมด

เริ่มจากชั้นหนังกำพร้า ซึ่งเป็นชั้นบนสุด เมื่ออายุมากขึ้นผิวชั้นนี้จะบางลง แต่ผิวบริเวณที่สัมผัสแสงแดดเป็นประจำจะหนาตัวขึ้น เซลล์ผิวชั้นนี้จะหลุดออกง่าย สภาพเช่นนี้เมื่อเกิดแผลจะทำให้หายช้า และมีฝ้า กระ มากขึ้น

ส่วนผิวชั้นกลางหรือชั้นหนังแท้ เป็นที่อยู่ของ คอลลาเจน, อีลาสติน และกราวน์ด ซับสแตน (ทำหน้าที่เหมือนปูนซีเมนต์ ตัวเชื่อมคอลลาเจนกับอีสาลติน) โดยวัยที่มากขึ้นจะทำให้คอลลาเจนกับอีลาสติน เสื่อมสภาพลง ทำให้ผิวเปราะบาง ความยืดหยุ่นลดลง

ลงลึกไปยังผิวชั้นไขมัน ที่เปรียบเสมือนเบาะรองผิวหนัง จะบางยุบลง ส่งผลให้ผิวดูแห้งเหี่ยว ไม่นุ่มนวล ยกเว้นผิวบริเวณสะโพก ต้นขา ที่ยิ่งแก่ยิ่งหนาตัวขึ้น

โทษธรรมชาติอย่างเดียวไม่ได้ที่กำหนดให้ผิวของคนเราต้องเสื่อมสภาพและเหี่ยวลง เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามารุมทำร้ายผิวของเราด้วย เริ่มจาก ‘แสงแดด’ ตัวการสำคัญฤทธิ์ร้ายเป็นตัวเร่งให้ผิวแก่เร็วกว่าวัย ทำให้อีลาสตินและคอลลาเจนเสื่อมสภาพ มีผลให้ผิวชั้นในหย่อนยาน ม้วนตัวอยู่ภายในผิวหนังชั้นบนสุด

ปัจจัยต่อมา ‘สารเคมี’ ไม่ว่าจะเป็นสารปรอทในเครื่องสำอาง สารตะกั่วจากน้ำมันเชื้อเพลิง สารคลอรีนในสระว่ายน้ำ ฝุ่นละออง และเชื้อโรคต่างๆ ที่สัมผัสกับผิวของคนเราอยู่เรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีผลมาจากการขาดวิตามินเอ พฤติกรรมการสูบบุหรี่ และการแสดงความรู้สึกบนใบหน้า เช่น การยิ้ม การขมวดคิ้ว เป็นต้น

หนทางแก้ไขหรือหนีปัญหาริ้วรอยแห่งวัยไม่ชวนมองเหล่านี้ ทำได้ด้วยตนเองเพียงไม่แสดงอารมณ์ทางหน้า ซึ่งพูดง่ายแต่ทำยาก หลายๆ คนจึงเลือกวิธีทาครีม ทายา ซึ่งเป็นแก้ปัญหาได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งที่ใช้ครีมหรือยา จึงไม่ถาวร แต่วิธีที่กำจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นออกไปได้ถาวรมีวิธีเดียวเท่านั้น คือ การผ่าตัดศัลยกรรม หรือที่มักจะเรียกกันว่า ผ่าตัดยกหน้า ดึงหน้า ยกเครื่องใหม่ แต่ก็เป็นวิธีที่เป็นทางเลือกของคนไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวมีดหมอนั่นเอง

นอกจากจะรักษาด้วยการทาครีม ทายา หรือผ่าตัดยกหน้าใหม่ ก็ยังมีวิธีอื่นๆ เป็นทางเลือก อาจเปรียบว่าเป็นทางสายกลาง แม้ไม่ถาวรแต่ก็ช่วยยืดตรึงผิวหน้าไว้ได้นานกว่าการใช้ครีมหรือยาทาภายนอก และไม่ต้องผ่านความเจ็บปวดจาการผ่าตัด นั่นคือ การฉีดสารต่างๆ เช่น โบทอก หรือ ฟิลเลอร์นั้นเอง ส่วนจะเลือกสารตัวใดฉีดหรือใช้เลเซอร์ชนิดไหนมาแก้ปัญหาเหี่ยวย่นนั้น ต้องดูจากลักษณะของรอยเหี่ยวย่นเป็นสำคัญ

สารละลายที่ใช้ฉีด มีทั้ง  ‘โบท็อก’  ซึ่งเป็นชื่อทางการค้าของสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งสร้างจากแบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ก่อโรคอาหารเป็นพิษหากได้รับในปริมาณมากจะมีผลกับกล้ามเนื้อ เนื่องจากออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อจึงคลายตัว หรือเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อ

ด้านความสวยความงาม แพทย์จึงนำโบท็อกฉีดเข้ากล้ามเนื้อในปริมาณน้อยๆ โบทูลินั่ม ท็อกซินจะทำให้กล้ามเนื้อ “คลายตัว” เหมาะกับการแก้ไขริ้วรอยที่เกิดจากการหดเกร็งกล้ามเนื้อบ่อยๆ เช่น ตีนกาที่หางตา รอยย่นที่หน้าผาก นอกจากนี้ยังสามารถใช้ ลดกราม เปลี่ยนโครงหน้า ปรับรูปคิ้ว ลดน่อง ลดเหงื่อได้ด้วย การฉีดโบทอกเป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาได้ระยะหนึ่ง คือ  3-8 เดือนหลังจากยาหมดฤทธิ์รอยย่นก็จะกลับมาเหมือนเดิม ก็ต้องมาเติมกันใหม่  ส่วนผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่เป็นธรรมชาติ ดูเหมือนใส่หน้ากาก บางที่ฉีดใหม่ๆอาจหลับตาไม่สนิม หรือถ้าฉีดหน่อยช่วงแรกๆอาจใส่ส้นสูงแล้วเดินไม่ถนัด ซึ่งอาจการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปเองเมื่อโบทอกซ์หมดฤทธิ์ ทุกอย่างก็จะคืนสภาพเดิม สนนราคาต่อเข็มราว 5,000-10,000 บาท

ในหมวดฉีดที่นิยมยังมี ‘ฟิลเลอร์’ (Filler) เพิ่งนำมาใช้ในช่วง 10 ปีที่ผ่าน เป็นคำรวมๆ ใช้เรียกสารสังเคราะห์เลียนแบบธรรมชาติ ฉีดเสริมเนื้อเยื่ออ่อน อาทิ รอยบุ๋ม หลุมสิว รอยย่น ร่องลึก ที่เกิดจากสภาพผิวที่ขาดน้ำ บางกรณียังสามารถนำไปฉีดเพื่อเสริมจมูกในตำแหน่งต่างๆเช่น ดั้ง ปลายจมูกรูปชมพู่ ปีกจมูก  และนอกจากนี้ฟิลเลอร์ โมเลกุลใหญ่ยังสามารถฉีดเสริมหน้าอกได้ด้วย โดยไม่ต้องผ่าตัด

ฟิลเลอร์ที่นิยมฉีด คือ “ไฮยาลูโรนิค แอซิด”  อาจเรียกสั้นๆ ว่า ไฮย่า ปกติมีอยู่ในผิวชั้นหนังแท้อยู่แล้ว การฉีดไฮย่าจะเข้าไปดูดน้ำในร่างกายเราเป็นพันเท่า เพื่อให้บวมโต ผิวหนังเต่งตึงหรือนูนขึ้นมา สารที่ใช้ถ้าเป็นยี่ห้อที่ผ่าน อย.แล้ว สามารถฉีดได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะทำมาจากน้ำตาลโมเลกุลซ้อน ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ไม่ต้องทดสอบก่อนฉีด การฉีดฟิลเลอร์สามารถแก้ปัญหาร่องรอยต่าง ๆ ได้ ระดับหนึ่งนาน 4 เดือน-1 ปี ราคาเข็มละประมาณ 10,000-15,000 บาท  ผลข้างเคียงที่อาจพบ คือ รอยแดง รอยช้ำจากการฉีดยา ซึ่งจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 1 อาทิตย์หลังฉีด ส่วนถ้าผิวบริเวณที่ฉีดนูนขึ้นมากเกินไปหรือคนไข้ไม่ถูกใจรูปทรงหลังฉีด ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสารสลายฟิลเลอร์เข้าไปเพียงเท่านี้ผิวก็กลับมาเป็นสภาพปกติก่อนฉีด ยาฉีดฟิลเลอร์นี้ไม่มีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ เนื่องจากเป็นสารที่เหมือนฟองน้ำเพื่อความเต่งตึงของผิวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องกลังวลว่าฉีดแล้วจะเกิด การแสดงสีหน้าไม่ได้ หลับตาไม่สนิท หรืออะไรต่างๆแต่อย่างใด

ทั้งนี้มีข้อควรรู้คือ ฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานอย่างถูกต้องจะเป็นชนิดไม่ถาวรเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องทราบด้วยว่า ฟิลเลอร์มีทั้งแบบสังเคราะห์จากเนื้อเยื่ออ่อนของคนไข้เอง ซึ่งใช้เวลานาน ยุ่งยาก ราคาแพง ส่วนชนิดสังเคราะห์จากเนื้อเยื่อคนอื่น หรือสังเคราะห์จากสัตว์ เสี่ยงเกิดอาการแพ้ได้ จะต้องทดสอบก่อน และชนิดล่าสุด คือ ชนิดที่ผ่านอย.แล้ว เป็นฟิลเลอร์ที่เป็นน้ำตาลโมเลกุลซ้อน ไม่ต้องทดสอบก่อนฉีด

โดนส่วนใหญ่โบทอกซ์และฟิลเลอร์ ทำงานเสริมฤทธ์กัน  ต้องการฉีดริ้วรอยเล็กๆ หรือฉีดบริเวณใบหน้าส่วนบน ก็จะนิยมฉีดโบทอกซ์ แต่ต้องการเน้นฉีดริ้วรอยลึกๆ หรือฉีดร่องบริเวณใบหน้าส่วนล่าง ก็จะเน้นฉีดฟิลเลอร์มากกว่า จะได้ผลดีกว่า

เสร็จจากการลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วยวิธีข้างต้นแล้ว ผิวหน้าคงจะดูอ่อนเยาว์ เหมือนย้อนเวลาไปหาอดีตเลยทีเดียว.

 

หยุดไขมัน สลายไขมัน

หยุดไขมัน……ก่อนไขมันจะหยุดคุณ

ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ลดพุง ทำได้ไม่ยาก ด้วยยาฉีดสลายไขมัน Stop Fat นวัตกรรมใหม่ ฉีดสลายไขมันเฉพาะส่วน ปลอดภัย เห็นผล ตัวยาผ่าน อย. ถูกต้องทั้งในไทย ยุโรป อเมริกา ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ หลังทำกลับบ้านได้ทันที เห็นผลภายใน 1 อาทิตย์ ทำโดยแพทย์ผิวหนัง

Stop Fat

ปัญหาเรื่องรูปร่าง น้ำหนักตัว หน้าท้อง พุง ไขมันส่วนเกินที่สะสมในตำแหน่งต่างๆ เป็นเรื่องที่ใครหลายๆคนกำลังปวดหัว เพราะไม่รู้จะจัดการยังงัยกันดี อยากให้เห็นผลเร็ว แต่ไม่อยากเหนื่อย ออกกำลังกาย อาหารก็อยากกินให้อร่อยปาก ไปเข้าคอร์สต่างๆ ซื้ออาหารเสริมที่เค้าว่าลดไขมัน ดักจับไขมันสารพัด นู้น นี่ นั้น มาทานก็ยังไม่เห็นผล เสียเงินไปหลายหมื่น หลายแสน ก็ยังเอาไม่อยู่ ปัญหาโลกแตกแบบนี้ ใครจะช่วยเราได้ …………. แต่ ไม่ต้องกลัวคะ Stop Fat ช่วยคุณได้คะ เพราะอะไร ตามไปดูกันเลยคะ
Stop fat คือ นวัตกรรมในการกำจัดไขมันส่วนเกิน โดยแพทย์จะใช้เข็มฉีดยาเล็กๆ ฉีดส่งยาเข้าไปชั้นไขมันโดยตรง ซึ่งยาที่ใช้นั้นจะมีสรรพคุณในการสลายไขมัน
โดยใช้กลุ่มยาหลายๆ ตัว เช่น L-carnitine, Caffeine, Phosphatidylcholine,Deoxycholate, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ โดยฉีดยาเข้าไปในชั้นไขมันโดยตรง ปริมาณที่ฉีด ก็แล้วแต่บริเวณที่ต้องการ เช่น อาจจะใช้ 0.2-0.5 ซีซี ห่างกัน ทุก 1-2 ตร.ซม โดยฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมัน ตั้งแต่ 0.1 มม-12 มม. โดยเทคนิคการฉีดแบบ เมโสเธอราพี (Mesotherapy, Mesofat ) ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัย เนื่องจากฉีดบริเวณผิวหนังที่ชั้นไขมันโดยตรง ไม่ได้ฉีดเข้าเส้นเลือด จึงไม่มีอันตรายแต่อย่างใด และยาที่ใช้ในการฉีดStop Fat ทุกตัว ได้รับการรับรองผ่าน อย.ทั้งในไทย ยุโรป อเมริกาแล้ว อีกทั้งเข็ม อุปกรณ์การแพทย์ทุกชนิด ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างดี ใช้แล้วทิ้ง คุณจึงมั่นใจถึงความปลอดภัยได้อย่างแน่นอน

กลไกการทำงานของยา
กลไกของการสลายไขมันด้วยการฉีด Stop Fat พบว่า ตัวยาจะไปเร่งเมตาบอลิซึมของการสลายไขมัน กระตุ้นการสลายไขมัน ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ไขมัน ( Fat Cell Membrance) แตกตัวออก ทำให้ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อนๆ สลายออกเป็นไขมันเหลว แล้วถูกขับออกทางระบบน้ำเหลือง ปัสสาวะ (ส่วนมาก) และทางอุจจาระออกจากร่างกายไป จึงทำให้หลังฉีด ผู้ป่วยจะรู้สึกอุ่นๆบริเวณที่ฉีด เนื่องจากมีการเพิ่มการเผาพลาญของไขมันหลังฉีด และผ่านไป 1อาทิตย์จะรู้สึกได้ว่าไขมันสะสมบริเวณที่ฉีดลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ตำแหน่งที่นิยมทำการสลายไขมันด้วยเทคนิค StopFat ได้แก่ ไขมันส่วนเกินที่ พุง หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก น่อง ไขมันที่แก้มเพื่อปรับหน้าให้เรียว ส่วนเกินที่คาง ไขมันที่เต้านม (Gynecomastia)

Stop Fat นิยมฉีดลดไขมันที่ใดบ้าง

1. ลดไขมันที่พุง หน้าท้อง
2. ลดไขมันที่ต้นแขน ต้นขา
3. ลดไขมันที่น่อง
4. ลดไขมันที่คาง(เหนียง)
5. ลดไขมันที่แก้มให้หน้าเรียวเล็ก
6. ลดไขมันที่จมูก(บาน) ทำให้เล็กลง
7. ลดไขมันที่หนังตาบนหย่อนคล้อย

เจ็บไหมขณะฉีดยา

เนื่องจากเข็มที่ใช้จะเล็กมากๆ จึงไม่มีความเจ็บแต่อย่างใด คนไข้จะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกิด หลังฉีดอาจปวดเล็กน้อย เราจะฉีดบริเวณที่มีไขมันสะสมเป็นจุดๆ ตามคนไข้ที่ต้องการ

ความรู้สึกหลังฉีดยา

หลังจากฉีดยา ผิวหนังบริเวณที่ฉีดจะอุ่นๆ บางท่านจะรู้สึกแสบเล็กน้อย อาจมีการเป็นจ้ำเขียวช้ำ เนื่องจากยาฉีดจะทำให้เส้นเลือดขยายตัว ซึ่งเป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นได้ในคนปกติทั่วไป อาจการต่างๆเหล่านี้จะค่อยๆดีขึ้นหลังจากฉีดยา 2-7 วัน ในบางท่านอาจจะรู้สึกใจสั่นเนื่องจากยามีส่วนผสมของคาเฟอีน จึงแนะนำให้วันที่มาฉีด ให้งด ชา กาแฟ เหล้า แอลกอฮอล์ต่างๆ

การดูแลตัวเองหลังฉีดยา

หลังฉีดสามารถเดินกลับไปได้ปกติ ไม่มีข้อห้ามใดๆ อาจทำการคลึงนวดเบาๆเล็กน้อยเพื่อให้ยากระจาย นอกจากนี้ ควรออกกำลังกายเบาๆ หลังทำ เช่น การเดินเร็ว โยคะ หรือแอโรบิค อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับ และรีดไขมันให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น ลดการสะสมของไขมันใหม่ และ เปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก และไขมันส่วนเกิน มิให้กลับมาสะสมได้อีก

ร้อยไหม ดึงหน้า

ร้อยไหม ดึงหน้า

ไม่ว่าผ่านไปกี่ยุค กี่สมัย เพลง 30 ยังแจ๋ว ก็ยังคงกระแทกใจสาวๆวัยเลข 3 เลข 4เลข 5 ได้เป็นอย่างดี เพราะเนื้อหามันช่างโดนใจวัย ไม่อยากแก่ซะจริงๆ หมอก็แอบเป็นแฟนคลับเพลงนี้ด้วยอีกคน เพราะอะไรนะหรือ ก็สาวๆ ยิ่งวัยเพิ่มขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งอยากหยุดเวลาให้ช้าลงเท่านั้นนะสิ มีคนเคยบอกไว้ว่า ความสาว ความสวย เป็นสิ่งแรกที่ธรรมชาติ ให้ผู้หญิงตั้งแต่แรกเกิด แต่ก็เป็นสิ่งแรก ที่ธรรมชาติเรียกกลับคืนไปเหมือนกัน ดังนั้น เพื่อฝืนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เราจึงต้องมีอุปกรณ์ช่วย เรียกความสาวกลับคืนนะ อุปกรณ์ที่ว่าคืออะไรนะหรือ มาค้นหาความจริงกับหมอกันเลยคะ

Botox , Filler , Radiofrequency, Thermage ,Ulthera

และอื่นๆอีกมากมาย เหล่านี้เป็นชื่อของอุปกรณ์ย้อนเวลาเพิ่มความสวย ซึ่งหมอจะค่อยๆอธิบายไปที่ละอย่างเพื่อความเข้าใจที่ง่ายยิ่งขึ้นนะคะ

  • Botox ตัวนี้คนส่วนใหญ่รู้จักกันดี เพราะ ฉีดง่าย ไม่เจ็บ รวดเร็ว ไม่ต้องพักหน้านาน หาฉีดได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป มันช่วยเรื่องริ้วรอย รอยย่น เนื่องจาก ยาที่ฉีดเข้าไป จะไปทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังคลายตัว พอกล้ามเนื้อคลายตัว รอยย่นก็หาย หน้าก็ตึงแป็ะ แป็ะ แปะ แต่ข้อเสีย มันจะตึงมากไปจนแสดงสีหน้าไม่ได้นะสิ เพราะถ้าฉีดBotox มากไป กล้ามเนื้อจะคลายตัวมากไป ทำกล้ามเนื้อที่ถูกยาฉีดมัดนั้นไม่ทำงาน เกิดผลเสียข้างเคียงได้ เช่นฉีดที่ตา ตาก็จะหลับไม่สนิท ฉีดที่รอบปาก อาจทำให้ดูดน้ำแล้วไหลหรือดูดไม่ค่อยขึ้นได้ ถ้าฉีดลดกรามอาจทำให้เคี้ยวข้าวไม่ถนัดได้ ถ้าฉีดลดน่องอาจจะทำให้ใส่ส้นสูงแล้วเดินไม่ถนัดได้คะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก้ไม่ได้เกิดกับทุกคนหรอกคะ ขึ้นอยู่กับปริมาณยาที่ใช้และประสบการณ์ของหมอที่ฉีดเป็นสำคัญเลยคะ
  • Filler ตัวนี้ ชื่อก็บอกแล้วว่าเติมเต็ม มันไปเติมร่องให้เต็มคะ

มันทำงานเหมือนฟองน้ำคะ ฉีดเข้าไปในชั้นหนังแท้ หลังนั้นจะค่อยๆพองออกเหมือนฟองน้ำ ทำให้รอยย่น ร่องต่างๆเต็มขึ้น ยิ่งร่องลึกๆ แก้มตอบ ยิ่งเติมได้ดีเลยคะ เอามาฉีดเสริมจมูกให้เป็นดั้งแทนที่จะเอาซิลิโคนใส่ สำหรับคนกลัวผ่าตัดก็ได้นะคะ ฉีดเสร็จกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องนอน รพ.

สารที่เอามาฉีดนี้ เป็นน้ำตาลโมเลกุลซ้อน ไม่อันตราย ไม่ได้ทำมาจากสัตว์ ไม่ต้องทดสอบก่อนฉีดเนื่องจากไม่แพ้ และหลังฉีดไปแล้วจะอยู่ในร่างกายประมาณ 1 ปี ร่างกายจะค่อยๆย่อยสลายไปเองคะ ไม่ต้องกลัวเป็นก้อน ไม่ต้องกลัวสะสม ถ้าใช้ยี่ห้อคุณภาพ มาตรฐาน อย. และ FDA อเมริกาแล้ว ไม่มีปัญหาคะ

  • Radio Frequency , Thermage วิธีนี้แตกต่างจากการฉีด เราจะใช้เครื่องเลเซอร์ที่ว่านี้ ไปกระตุ้นผิวหนังชั้นหนังแท้ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ และทำให้คอลลาเจนเกิดการหดตัว ผิวจะกระชับขึ้น ความหย่อนคล้อยจะลดลง รอยย่นจะลดลง ลองคิดง่ายๆ นึกภาพตามหมอดูนะคะว่า โมเลกุลของคอลลาเจนมีสามสายพันกันเป็นเกลียวเหมือนเราผูกเปียผม ปียที่เพิ่งผูกใหม่ก็จะตึงแน่น สวย แต่พอเวลาผ่านไป เราออกไปข้างนอกกระโดดโลดเต้น เดินไปไหนมาไหน โดนฝุ่นโดนควันหัวเซอะเซิง เปียผมก็คลาย หลุดลุ่ย ไม่สวย จะทำใหเปียตึงก็ต้องรื้อมาผูกใหม่ เครื่อง RFนี้ ก็เป็นความร้อนที่เข่ามาช่วยให้เปียที่คลายไม่เรียบร้อย ยุ่งเหยิง กลายเป็นเปียที่หด แน่น ตึงเหมือนเดิมนั้นเองคะ ส่วนจะเป็น RF รุ่นไหน ก็จะต่างกันตรงที่ว่า มันลงได้ลึกถึงชั้นไหน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้มากแค่ไหน  RF ทั่วๆไปก็จะทำ ประมาณ 4-5 ครั้ง ทำแล้วก็เห็นผลทันทีว่าตึงขึ้น แต่ก็จะอยู่ได้ 1-2 อาทิตย์ก็ ต้องมาทำใหม่เรื่อยๆ ข้อดีคือหลังทำไม่มีแผล แต่งหน้าได้ทันทีคะ Thermage ก็จะเป็นตัว top ของ RF ซึ่งเป็น Monopolar RF ได้ผลดีสุดเกี่ยวกับเรื่องริ้วรอยในกลุ่มตระกูล RF ทำครั้งเดียวอยู่ได้ 2 ปี เห็นผลหลังจากทำไปแล้ว ประมาณ 1-2 เดือน และจะค่อยดีขึ้นเรื่อยๆ หลังทำหน้าจะบวมๆแดงๆหน่อย ไม่เกิน 2-3 วันก็จะดีขึ้นคะ แอบเจ็บอยู่พอสมควร เพราะคลื่นลงไปลึกถึงชั้นหนังแท้ ที่สำคัญแพงเหมือนกัน ไม่มีตังค์ไม่มีสิทธิคะ

  • Ulthera ตัวนี้เป็น Ultrasound ยุคปี 2010 ดังมากเกี่ยวกับการรักษารอยย่นในยุคนี้ หมอเพิ่งเขียนคอลัมภ์เกี่ยวกับเครื่องนี้ลงในเดลินิวส์ไปเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากมีคนเขียนมาถามกันค่อนข้างมากว่ามันคืออะไร เครื่องนี้ลักษณะเหมือนเครื่องultrasound ที่หมอสูติเข้าใช้ดูเพศบุตรเลยคะ แต่มันไม่ได้ใช้สำหรับดูเพศบุตรหรอกคะ มันใช้รักษารอยเหี่ยวย่น โดยใช้หลักการว่า คลื่นเสียงจะผ่านผิวทำให้เกิดความร้อนถึงชั้น SMAS( คือชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ ซึ่งลึกมากผ่านทะลุชั้นผิวหนังไปอีก ) ไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวต่างๆ เกิด Collagen Remodeling ใหม่จึงทำให้หน้าตึงกระชับ ริ้วรอยลดลง และยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่มความแม่นยำและให้เห็นภาพโดยมีจอmonitor ให้หมอที่ทำการรักษาดูว่า ตอนนี้คลื่นเสียงมันลงไปลึกถึงชั้นไหน เพียงพอหรือยังสำหรับการรักษาในครั้งนั้น ใช้หลัก See& Treat ดังนั้นความแม่นยำจึงสูงขึ้นอีก ตอนทำแอบเจ็บอยู่บ้าง no pain no gain นะคะ ใช้เวลทำประมาณ 30 นาที ทำครั้งเดียวอยู่ได้ประมาณ 2 ปีคะ หลังทำจะแดงๆหน่อยๆ ไม่ต้องพักหน้า ทำงานได้เลย ราคาแพงได้ใจคะ กระเป๋าต้องหนักหน่อยถึงสู้ไหวคะตัวนี้ เพราะเป็นของใหม่ในยุคนี้ จะดีไม่ดีตามข้อมูลต้องลองเองคะ

  • Rhytidectomy, Face Lift Surgery ผ่าตัดดึงหน้า อันนี้ได้ผลดีที่สุดคะ เพราะเป็นการผ่าตัด ช่วยให้หน้าตึง และช่วยเรื่องหย่อนคล้อยได้ดีที่สุด และถ้ามีไขมันสะสมบริเวณคาง แก้มมากๆอาจจะต้องมีการดูดไขมันเพิ่มขึ้นด้วยคะ เนื่องจากเป็นการผ่าตัดทีมแพทย์จะต้องเป็นหมอที่มีความชำนาญมาก ต้องระวังเส้นเลือด เส้นประสาทมากมาย ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำให้เกิดผลข้างเคียงระยะยาวต่อคนไข้ได้คะ การผ่าตัดก้จะใช้เวลา 3-4 ชม ต้องดมยาสสลบ แผลผ่าตัดจะอยู่เหนือไรผมด้านบนและหลังใบหูซึ่งจะมองไม่เห็นคะ หลังจากนั้นอีก 4 วันจะตัดไหมส่วนหลังใบหูก่อนและอีก 6 วันจะตัดไหมเหนือไรผมด้านบนคะ หลังผ่าแผลห้ามโดนน้ำจนกว่าจะตัดไหมคะ ต้องนอนยกหัวสูงเพื่อลดบวม งดออกกำลังกายเด่ยวแผลจะกระเทือนคะ เจ็บสุด ยุ่งยากสุด เสี่ยงสุด แต่ หลังผ่าตัดเห็นผลทันทีคะ ถาวรด้วย

ได้รู้วิธีย้อนวัย ขึ้นtime machine กลับไปอดีตแล้ว ชอบวิธีไหนก็ลองกันดูนะคะ แต่ที่สำคัญอย่าลืมว่า เครียดตลอดเวลา หน้าจะเหี่ยวเร็วคะ

บทความโดย พญ.ธวลิดา เวชชวณิชย์ แพทย์หัวหน้าศูนย์ความงาม รพ.พญาไท 1
E-mail : bangkokbeautyclinic@gmail.com
Hotline : 086-4656031